Retargeting หรือการทำตลาดซ้ำ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายและสร้างการจดจำแบรนด์ผ่าน Facebook Ads การใช้ Retargeting บน Facebook Ads อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยดึงดูดลูกค้าเก่ากลับมาและกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคการใช้ Retargeting บน Facebook Ads เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณ
สร้าง Custom Audiences จากผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
Custom Audiences เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการตลาดออนไลน์ ช่วยให้คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อหรือใช้บริการของคุณมากกว่ากลุ่มเป้าหมายทั่วไป
การใช้ Custom Audiences ทำให้คุณสามารถสร้างโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นกลุ่มที่เคยแสดงความสนใจในแบรนด์ของคุณมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเว็บไซต์ ดูวิดีโอ ส่งข้อความ หรือมีการซื้อสินค้าก่อนหน้านี้ คุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ประเภทของ Custom Audiences
- Website Traffic – ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
- Engagement Audiences – ผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ วิดีโอ หรือเพจของคุณ
- Customer List – รายชื่อลูกค้าที่คุณมีอยู่แล้ว (เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์)
- App Activity – ผู้ที่ใช้แอปของคุณ
ประโยชน์ของ Custom Audiences
เพิ่มโอกาสในการปิดการขายเนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของคุณอยู่แล้ว ลดต้นทุนโฆษณาเพราะในการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มที่มีแนวโน้มสนใจสูงกว่ากลุ่มกว้างทั่วไป ทำให้ประหยัดงบประมาณโฆษณา
Custom Audiences ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ในการทำ Retargeting หรือ Remarketing กับลูกค้าที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมาทำการซื้อในอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาด้วยข้อมูลพฤติกรรมที่ชัดเจนจะทำให้สามารถออกแบบโฆษณาที่มีความเหมาะสม ตรงกับความสนใจของแต่ละกลุ่มได้
ใช้ Dynamic Ads เพื่อแสดงโฆษณาเฉพาะบุคคล
Dynamic Ads เป็นโฆษณาที่สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของแต่ละบุคคลโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ โฆษณาประเภทนี้ทำงานโดยการดึงข้อมูลจากแคตตาล็อกสินค้าและใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การกดดูสินค้า หรือการเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมที่สุด
Dynamic Ads ช่วยให้ลูกค้าเห็นสินค้าที่พวกเขาสนใจซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลาและลดภาระในการทำโฆษณา เนื่องจาก Dynamic Ads ทำงานโดยอัตโนมัติ นักการตลาดไม่จำเป็นต้องสร้างโฆษณาใหม่สำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์ ระบบจะเลือกสินค้าที่เกี่ยวข้องและแสดงให้ลูกค้าเห็นตามข้อมูลพฤติกรรมของพวกเขา สร้างประสบการณ์ส่วนตัวให้กับลูกค้าเพราะโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจความต้องการของพวกเขา
วิธีใช้ Dynamic Ads อย่างมีประสิทธิภาพ
- เชื่อมต่อแคตตาล็อกสินค้ากับ Facebook Business Manager
คุณต้องอัปโหลดแคตตาล็อกสินค้าของคุณไปยัง Facebook Business Manager เพื่อให้แพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลสินค้าและแสดงผลโฆษณาได้อย่างอัตโนมัติ - ตั้งค่า Product Feed ให้ถูกต้องและครบถ้วน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลใน Product Feed เช่น ชื่อสินค้า ราคา คำอธิบาย และลิงก์ไปยังหน้าสินค้านั้นครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพราะข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้ในโฆษณาของคุณโดยตรง - กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการทำ Retargeting
เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม เช่น คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือเคยเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า - ใช้ Dynamic Ads กับหลายแพลตฟอร์ม
Dynamic Ads สามารถแสดงผลได้ทั้งบน Facebook, Instagram และ Audience Network ซึ่งช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น - ทดสอบและปรับแต่งโฆษณาอยู่เสมอ
ใช้ A/B Testing เพื่อดูว่าโฆษณาประเภทใดที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด และปรับแต่งรูปแบบหรือข้อความโฆษณาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงสุด
Dynamic Ads เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายและปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับลูกค้าแต่ละราย หากใช้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามระดับความสนใจ
เพื่อให้ Retargeting มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณควรแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นระดับต่างๆ การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามระดับความสนใจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้การทำ Retargeting มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยให้เราสามารถส่งโฆษณาที่ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
- ผู้ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ แต่ยังไม่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้า: กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เพิ่งเริ่มให้ความสนใจในสินค้า อาจเข้ามาดูรายละเอียดสินค้า แต่ยังไม่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะดำเนินการต่อไป ดังนั้นควรใช้โฆษณาที่ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า หรือสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาสนใจมากขึ้น
- ผู้ที่เพิ่มสินค้าในตะกร้า แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน: กลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นลูกค้า เพราะพวกเขาแสดงความสนใจในสินค้าจนถึงขั้นเพิ่มลงในตะกร้าแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ อาจเป็นเพราะต้องการเวลาพิจารณา หรือมีข้อกังวลบางอย่าง เช่น ค่าจัดส่ง หรือราคาที่ยังสูงเกินไป ดังนั้น ควรใช้โฆษณาที่ช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมาทำรายการสั่งซื้อ
- ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแล้ว: กลุ่มลูกค้าเก่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาซื้อสูง หากมีการนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา การ Retargeting กลุ่มนี้สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าการขายต่อคน (Customer Lifetime Value) และสร้างความน่าเชื่อถือต่อแบรนด์ได้
การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามระดับความสนใจช่วยให้เราสามารถวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย แต่ยังช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับแบรนด์และเพิ่มโอกาศในการกลับมาทำรายการสั่งซื้อในระยะยาว
ปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า
การปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำ Retargeting เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ที่เคยสนใจสินค้าให้กลายเป็นลูกค้าได้จริง การใช้ข้อความที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้าจะทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างการปรับแต่งข้อความโฆษณาตามพฤติกรรมของลูกค้า:
- ลูกค้าดูสินค้าหลายครั้งแต่ยังไม่ซื้อ: ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้ตัดสินใจเร็วขึ้น เช่น “สินค้ากำลังจะหมด รีบซื้อเลย!” , “ลดพิเศษสำหรับคุณเท่านั้น” , “รับส่วนลด 10% เมื่อลงทะเบียนวันนี้”
- ลูกค้าใส่สินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่ชำระเงิน: ใช้ข้อความกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อ เช่น “อย่าลืม! สินค้าของคุณยังรออยู่ในตะกร้า” , “ชำระเงินตอนนี้ รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม” , “เพียงกดสั่งซื้อวันนี้ ส่งฟรีถึงหน้าบ้านคุณ”
- ลูกค้าซื้อสินค้าครั้งแรกและมีแนวโน้มซื้อซ้ำ: ใช้ข้อความสร้างความสัมพันธ์และกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ เช่น “ขอบคุณที่เลือกเรา! รับส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งถัดไป” , “สินค้าใหม่มาแล้ว! คุณอาจสนใจผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับสินค้าที่คุณซื้อ” , “ลูกค้าคนพิเศษอย่างคุณ รับสิทธิ์โปรโมชันก่อนใคร”
- ลูกค้าเคยซื้อสินค้าแล้วแต่ไม่ได้กลับมานาน: ใช้ข้อความดึงดูดให้กลับมา เช่น “เราคิดถึงคุณ! รับโค้ดส่วนลดพิเศษเพื่อกลับมาช้อป” , “สินค้าที่คุณชอบกลับมาในสต็อกแล้ว อย่าพลาด!” , “โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าเก่าเท่านั้น”
การใช้ข้อความที่เหมาะสมและตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า จะช่วยให้การทำ Retargeting มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว
ตั้งงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
Retargeting บน Facebook Ads เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณใช้เงินโฆษณาได้คุ้มค่ามากขึ้น เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณมาก่อน ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะตัดสินใจซื้อ การตั้งงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างเหมาะสม
คุณสามารถเริ่มต้นด้วยงบประมาณเล็ก ๆ เพื่อทดสอบผลลัพธ์ของโฆษณา และค่อย ๆ เพิ่มงบประมาณเมื่อเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ควรมีการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญเป็นระยะ เพื่อให้สามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Facebook Ads Manager หรือ Google Analytics เพื่อช่วยวัดผล ROI (Return on Investment) และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
เคล็ดลับในการตั้งงบประมาณ
- เริ่มต้นด้วยงบประมาณที่ไม่สูงเกินไป แล้วค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามผลลัพธ์
- ใช้กลยุทธ์การเสนอราคา (Bidding Strategy) ให้เหมาะสม เช่น การใช้ Cost Cap หรือ Target ROAS เพื่อให้โฆษณามีประสิทธิภาพสูงสุด
- ติดตาม ROI (Return on Investment) และปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เหมาะสมกับแคมเปญที่ทำงานได้ดี
- ใช้ Budget Optimization เพื่อให้ Facebook จัดสรรงบประมาณให้กับกลุ่มโฆษณาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด
บทสรุป
การใช้ Retargeting บน Facebook Ads อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ โดยการใช้ Custom Audiences, Dynamic Ads และการแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสม คุณสามารถสร้างโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายให้มากขึ้น นอกจากนี้ การวางแผนงบประมาณตามกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์การยิง Facebook Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด